วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

นวัตกรรมสบู่glycerin refreshbrand soap กับ SLES

    สารเคมีที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดสำหรับเด็กส่วนใหญ่จะถูกเพิ่มเติมเข้าไปเพื่อเพิ่มคุณสมบัติบางอย่าง เช่น ทำให้เกิดฟอง ขจัดสิ่งสกปรก เป็นต้น ซึ่งสารเคมี 2 ชนิดที่กำลังเป็นที่พูดถึงมากในการนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก และเป็นสิ่งพ่อแม่ควรรู้คือ (SLS) Sodium Lauryl Sulfate และ (SLES)Sodium Laureth Sulfate


Sodium Lauryl Sulfate - SLS

        ฟังก์ชันการทำงานหลักของสารนี้คือทำงานเป็นสารลดแรงตึงผิว (โดยทั่วไปเรามักพบสารลดแรงตึงผิวในผลิตภัณฑ์ซักล้าง เพราะจะทำให้น้ำมีความตึงผิวลดลง จึงสามารถแทรกซึมเข้าไปยังเนื้อผ้าหรือวัสดุที่ต้องการล้างได้ดีขึ้น) แต่สำหรับเครื่องสำอาง นิยมนำมาใช้เป็นสารเพิ่มความชุ่มชื้น (เพราะทำให้น้ำมีแรงตึงผิวลดลงจึงเข้าไปสัมผัสกับผิวหนังได้ดีขึ้น), ใช้เป็น Emulsifier (สารที่ทำให้น้ำกับน้ำมันเข้ากันได้ดี), หรือใช้เป็น ตัวทำละลาย

SLS เป็นสารทำความสะอาดที่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองได้มากที่สุดตัวหนึ่ง ซึ่งมักพบได้ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางหลายชนิด ในความเป็นจริงแล้ว สารตัวนี้ถูกจัดให้เป็นสารมาตรฐานในการทดสอบระดับการระคายเคืองของผิวหนัง โดยในการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ ถ้าต้องการทราบว่าสารเคมีชนิดใด ก่อให้เกิความระคายเคืองต่อผิวหนัง ผู้ทดลองจะเปรียบเทียบผลที่เกิดขึ้นโดยใช้สารนั้น เทียบกับการใช้สาร SLS (ในการทดสอบบนผิวหนังชนิดเดียวกัน) สาร SLS ปริมาณ 2% - 5% สามารถก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ในคนกลุ่มใหญ่

Sodium Laureth Sulfate (Sodium Lauryl Ether Sulfate) - SLES


        SLES เป็นสารสกัดจากมะพร้าว ถูกใช้เป็นสารทำความสะอาด ซักล้างเป็นหลัก สารนี้ ได้รับการพิจารณาว่ามีความอ่อนโยนและมีประสิทธิภาพ และใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง (นิยมใช้ในผลิตภัณฑ์ล้างหน้า อาบน้ำ หรือแชมพูสระผม) แม้ว่าชื่อจะคล้ายกัน แต่ SLS ต่างกับ SLES โดยสิ้นเชิง สาร SLES เป็นสารทำความสะอาดที่อ่อนโยนกว่าเนื่องจากเป็นสารประกอบที่เกิดจาก Fatty Alcohol หลายๆ ชนิด ความปลอดภัยของสาร SLES นี้ได้ถูกรีวิวโดยหลากหลายผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมนี้

SLS และ SLES เป็นสารเคมีที่สกัดจากน้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาลม์ (Palm Kernel Oil) หรือแอลกอฮอล์ (จากการกลั่นน้ำมันปิโตเลี่ยม) และผ่านกระบวนแยกและเติมสารต่างๆ ซึ่งสารทั้ง 2 ชนิดนี้มีคุณสมบัติที่คล้ายกันคือ ทำให้เกิดฟอง ขจัดน้ำมันออกจากผิวหนัง เส้นผม หรือฟัน เราจะพบสารเคมีเหล่านี้ ในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดต่างๆ เช่น น้ำยาล้างห้องน้ำ น้ำยาถูพื้น น้ำยาล้างรถ รวมไปจนถึงผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กทั่วไป เช่น แชมพูสระผม สบู่อาบน้ำ น้ำยาซักผ้า
         ข้อแตกต่างระหว่างสาร SLS และ SLES คือ รายงานจาก Journal of The American College of Toxicology พบว่า สาร SLS แม้ใช้ในปริมาณความเข้มข้นต่ำก็เป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ โดยความรุนแรงจะขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของสารนี้ในผลิตภัณฑ์ และระยะเวลาที่ผลิตภัณฑ์สัมผัสร่างกาย ซึ่งมักจะทำให้เกิดความระคายเคืองมาก โดยเฉพาะเมื่อเข้าตา หรือเมื่อใช้กับผิวหนังที่บอบบางจะเกิดการระคายเคืองเป็นผื่นแดง หรือลุกลามรุนแรงได้
ในขณะที่ สาร SLES พบว่าทำให้เกิดอาการระคายเคืองน้อยกว่ามาก เพราะมีกระบวนการผลิตที่ดีและซับซ้อนกว่ามาก สารชนิดนี้จึงนิยมนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดมากกว่า โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก กลุ่มที่เป็นสบู่สำหรับเด็ก ผิวแพ้ง่าย สบู่รักษาสิว  REFRSHBRAND soap รักษากลิ่นกาย ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้น
ก่อนหน้านี้เคยมีข่าวว่าสารทั้งสองชนิดนี้ก่อมะเร็งได้ แต่ก็ยังไม่มีรายงายวิจัยชิ้นใดระบุว่าสามารถก่อมะเร็งในผู้ใช้ นอกเสียจากว่าสารทั้งสองชนิดนี้จะได้รับการปนเปื้อนมากัน 1.4 Dioxane ที่เป็นสารก่อมะเร็งในขั้นตอนการผลิต ผลิตภัณฑ์ต่างๆ แต่ปัจจุบันกระบวนการผลิตสารทำความสะอาดสามารถกำจัดสิ่งปนเปื้อนนี้ได้ด้วยการใช้ระบบสูญญากาศ จึงมั่นใจได้ว่าจะไม่มีสารก่อมะเร็งอย่างแน่นอน
เมื่อติดตามข้อมูลเกี่ยวกับความปลอดภัยของการใช้สารในผลิตภัณฑ์เด็ก ยังพบสาร Triclosan, สาร Polyethylene, สาร Synthetic Polymers, สาร Paraben นำมาใช้เป็นส่วนผสมในการผลิต ผลิตภัณฑ์ต่างๆเพื่อจำหน่ายในประเทศไทย ซึ่งขณะนี้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาอนุญาตให้ใช้สารเหล่านี้เป็นวัตถุกันเสียที่ความเข้มข้นไม่เกิน 0.3% ซึ่งถือว่ามีความปลอดภัยต่อผู้บริโภคตามมาตรฐานสากล จึงขอให้คุณพ่อคุณแม่มั่นใจในการใช้ผลิตภัณฑ์เด็ก อย่าได้ตื่นตระหนกกลัวตามที่เป็นข่าว

ผลิตภัณฑ์ปลอดภัยกับ refeshbrand by เภสัชกร อธิราช
http://www.refreshbrands.org/

วันพุธที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

สบู่ทั่วไปกับสบู่กลีเซอรีน นั้นต่างกันอย่างไร

อยากรู้ไหมว่า... สบู่ทั่วไปกับสบู่กลีเซอรีน นั้นต่างกันอย่างไร
สบู่ใครๆก็รู้จัก แต่เคยสงสัยไหมว่าสบู่ที่คุณใช้นั้น มันคือสบู่ประเภทไหน ทำมาจากอะไร เพราะปัจจุบัน สบู่ นั้นมีหลากหลายรูปแบบ สีสัน สวยงาม มีทั้งแบบใส แบบขุ่น แล้วตกลงมันเรียกว่าอะไรหล่ะ วันนี้ refreshbrand  จะมาไขข้อข้องใจให้คุณๆได้รู้กัน...
สบู่ทั่วไป


       เป็นสบู่ที่ผลิตเชิงอุตสาหกรรมโดยใช้เครื่องจักรเป็นหลัก เพื่อผลิตให้ได้ปริมาณมาก โดยการนำเกล็ดสบู่ หรือที่เรียกกันว่า Soap Noodle หรือ Soap Chip มาเติมสารบำรุงผิว ซึ่งมักเป็นสารเคมี และน้ำหอม ลักษณะของเนื้อสบู่ที่ได้จะมีความแข็ง จึงสามารถนำมาปั๊มขึ้นรูปได้ จึงมักมีรูปก้อนสบู่ที่สวยงาม น่าใช้ มีหลากหลายยี่ห้อตามท้องตลาด ราคาไม่แพงมาก
สบู่กลีเซอรีน

                    เป็นสบู่ที่ใช้วิธีการผลิต โดยการทำปฏิกริยากันระหว่างน้ำมันกับสารละสายด่าง  ซึ่งวิธีนี้จะทำให้เกิดกลีเซอรีนธรรมชาติอยู่ในตัวสบู่ และกลีเซอรีนนี้เองที่เป็นสารที่ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว และยังสามารถเติมสารธรรมชาติอื่น ๆ เพื่อเพิ่มคุณค่าในการบำรุงผิวเพิ่มมากขึ้นได้ตามต้องการ  ลักษณะของเนื้อสบู่ที่ได้มักจะนิ่ม และละลายน้ำง่าย การปั๊มขึ้นรูปของสบู่จึงทำได้ยาก จึงมักจะมีรูปทรงธรรมดาเช่น สี่เหลี่ยมหรือวงกลม  นอกจากนั้นคุณค่าของสบู่ที่มีต่อผิวยังขึ้นอยู่กับชนิดของน้ำมันที่เลือกใช้ ซึ่งน้ำมันแต่ละชนิดกันจะมีคุณประโยชน์ที่แตกต่างกัน เช่นสบู่ brand ดังต่างๆ สบู่สำหรับผิวแห้ง สบู่รักษาผิวแพ้ง่าย  สบู่ระงับกลิ่นกาย refreshbrand   สบู่กลุ่มรักษาสิว ราคาจะสูงกว่าสบู่ทั่วไป เน้นใช้ในกลุ่มเวชสำอางค์ หรือยา

กลีเซอรีน (Glycerin) คืออะไร
                  สบู่กลีเซอรีน เป็นสบู่ที่มีกลีเซอรีนเป็นส่วนประกอบสำคัญ และไขมันจากพืช มีทั้งชนิดใสและขาวขุ่น มีคุณสมบัติ คือ กลีเซอรีนเป็นส่วนช่วยหล่อลื่นเหมือนมอยซ์เจอร์ไรเซอร์เพื่อปกป้องผิวไม่ให้แห้งและดูดซับความชื้นเมื่อสัมผัสกับอากาศซึ่งจะทำให้รู้สึกว่าผิวมีความชุ่มชื้น อ่อนโยนต่อผิว ไม่ทำให้อุดตันรูขุมขน เนื่องจากสบู่ชนิดนี้มีส่วนผสมของกลีเซอรีนค่อนข้างมาก จึงมีความนิ่มกว่าสบู่ในท้องตลาดทั่วไป ราคาค่อนข้างสูง แต่ถ้าเปรียบเทียบคุณสมบัติกับสบู่ทั่วไปก็นับว่าคุ้มค่ากับเงินที่เสียไป
นอกจากกลีเซอรีนที่ได้จากการผลิตสบู่ Handmade จะช่วยให้ผิวชุ่มชื้นแล้ว การเลือกใช้น้ำมันก็มีผลต่อคุณภาพของสบู่ต่อผิวด้วย
1. น้ำมันมะพร้าว สบู่ที่ผลิตได้มีเนื้อแข็ง กรอบ แตกง่าย สีขาวข้น มีฟองมากเป็นครีม ให้ฟองที่คงทนพอควร เมื่อใช้แล้วทำให้ผิวแห้ง
2. น้ำมันปาล์ม ให้สบู่ที่แข็งเล็กน้อย มีฟองน้อย ฟองคงทนอยู่นาน มีคุณสมบัติในการชะล้างได้ดี แต่ทำให้ผิวแห้ง
3. น้ำมันรำข้าว ให้วิตามินอีมาก ทำให้สบู่มีความชุ่มชื้น บำรุงผิว ช่วยลดความแห้งของผิว
4. น้ำมันถั่วเหลือง เป็นน้ำมันที่เข้าได้ดีกับน้ำมันอื่น มีวิตามินอีสูง ให้ความชุ่มชื้น ถนอมผิว รักษาผิว
5. น้ำมันงา เป็นน้ำมันที่ให้วิตามินอี และให้ความชุ่มชื้น รักษาผิว แต่มีกลิ่นเฉพาะตัว
6. น้ำมันมะกอก ทำให้ได้สบู่ที่แข็งพอสมควร ใช้ได้นาน มีฟองเป็นครีมนุ่มนวลมาก ให้ความชุ่มชื้น ไม่ทำให้ผิวแห้ง
7. น้ำมันละหุ่ง ช่วยทำให้สบู่มีฟองขนาดเล็กจำนวนมาก ทำให้สบู่เป็นเนื้อเดียวกันดี สบู่ไม่แตก ทำให้สบู่มีความนุ่มเนียน และช่วยให้ผิวนุ่ม
8. น้ำมันเมล็ดทานตะวัน ทำให้สบู่นุ่มขึ้น แต่ฟองน้อย
สบู่refreshbrandกลีเซอรีนระงับกลิ่นกาย (ในรูปแบบกลีเซอรีน)
                สบู่ที่ผลิตในรูปแบบของกลีเซอรีนจากน้ำมันถั่วเหลือง หลังจากสกัดเป็นน้ำมันแล้วนั้นมีวิตามินอีสูง ที่ให้ความชุ่มชื้นต่อผิว ช่วยถนอมผิว สบู่refreshbrand ยังอุดมด้วยวิตามินและสารสกัดที่ทรงคุณค่าต่อการดูแลผิว ช่วยทำความสะอาดผิวพร้อมไปกับการบำรุงผิวให้สะอาด เกลี้ยงเกลา นุ่มชุ่มชื้น แลดูขาว เรียบเนียน หลังการใช้ระงับกลิ่นกาย ช่วยปรับสีผิวให้ขาวด้วย vitamin B3  ผสานกับ สารสกัด tarmarid  และสารสกัดจาก ginger  ให้ผิวขาวแล้วขาวอีก ขาวอมชุมพู มีน้ำมีนวล ทั้งยังบำรุงผิวด้วยสารสกัดจากทัมทิม ที่มี Super Anti Oxidant ที่สุดของการต่อต้านอนุมูลอิสระ ยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน ลดริ้วรอยความหมองคล้ำ จุดด่างดำ ลดการอักเสบของสิว กระตุ้นการสร้างคลอลาเจนใต้ชั้นผิวให้ผิวเต่งตึง ผลัดเซลล์ผิวเก่า เผยผิวใหม่ที่เนียนเรียบ นุ่ม ชุ่มชื้น ดูขาวใส เปล่งปลั่ง อย่างเป็นธรรมชาติ

ผลิตภัณฑ์ดีๆแนะนำ by เภสัชกร อธิราช

http://www.refreshbrands.org/

วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ความเครียดแก้ได้ด้วยของใช้ใกล้ตัว

           





           ในปัจจุบัน มีความเคร่งเครียดจากการทำงาน และ มีภาวะรีบเร่ง และมีมลพิษทางอากาศ ทำให้ในแต่ละวันเรามีความเครียด ซึ่งแต่ละคนก็จะมีวิธีผ่อนคลายความเครียด แตกต่างกันตามสไตล์แต่ละคน ซึ่งไทยเราก็มีสมุนไพรหลายชนิดที่ทำให้เราผ่อนคลายได้ เช่น ขิง ขมิ้น ข่า ก็แล้วแต่ว่าใครจะชอบใช้ อะไร แต่ถ้าหากเรามีสบู่สมุนไพร ที่มีส่วนผสมของสารเหล่านี้ ก็ทำให้เรา รู้สึกสดชื่นหลังอาบน้ำทันทีทำให้การนอนหลับพักผ่อนของเรา และร่างกายของเราได้ผ่อนคลายและ พักผ่อนได้เต็มที่ โดยสารสกัด เช่น น้ำมันหอมระเหยจากขิง บรรเทาอาการเหนื่อยล้าของจิตใจโดยจะทำให้เกิดอาการตื่นตัว และรู้สึกอบอุ่น ช่วยเพิ่มความจำ กระตุ้นการไหลเวียนเลือด บรรเทาอาการปวดรูมาตอยด์ ปวดกล้ามเนื้อ เคล็ดขัดยอก และประโยชน์ด้านอื่น เช่น ช่วยบรรเทาอาการไมเกรน
          จากการศึกษาพบว่า การรับประทานขิงตอนที่อาการไมเกรนใกล้กำเริบนั้น จะช่วยทำให้ความเจ็บปวดจากอาการไมเกรนลดลงได้ เพราะขิงจะไปช่วยสกัดการฮอร์โมนที่เกี่ยวกับการอักเสบ ทำงานที่ค่อนข้าง เครียด ก็ลองใช้สบู่ที่มีส่วนผสมเช่น refreshbrands soap และอื่นดูนะครับ น่าจะลดความเครียดลงได้ 

สาระดีๆ จาก refreshbrands  by เภสัชกรอธิราช  พิมพ์วิชัย
http://www.refreshbrands.org/

วันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2559

สบู่สูตรพิเศษกับปัญหากลิ่นกายที่แก้ไม่ตก




       ปัจจุบัน มีผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ไม่ว่าจะเป็น สบู่ก้อน สบู่เหลว หลากหลายยี่ห้อ ทำให้เรา  สามารถหาซื้อได้สะดวก  ที่จะซื้อมาใช้ ซึ่งก็จะมีกลิ่นหลากหลายตาม BRAND แต่ละยี่ห้อนั้นๆ โดยวัตถุประสงค์หลัก คือ ต้องการชำระล้างร่างกาย ในระหว่างวัน ที่เรา ต้องออกไปทำกิจกรรมต่างๆ  รวมถึงทำให้เรา ไม่มีกลิ่นกายหลังอาบน้ำ  รู้สึกสดชื่น  แต่ มักจะได้ผลเฉพาะหลังอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ สักพัก ก็จะมีกลิ่นตัวเหมือนเดิม ทำให้เกิดสาเหตุ เรามีกลิ่นกาย กลิ่นไม่พึงประสงค์ ในระหว่างวัน  จึงมีวิวัฒนาการแก้โดยใส่น้ำหอมฉุนๆ เพราะคิดว่าจะเป็นการ ทำให้ดับกลิ่นกาย กลิ่นไม่พึ่งประสงค์ได้  แต่ผลลัพธ์กับไม่ใช่ ยิ่งทำให้ กลิ่นรุนแรง มากขึ้น ทำให้เราต้องมาใช้ สเปรย์ ระงับกลิ่นกาย แต่โดยรวมแล้ว ผลลัพธ์ ไม่ค่อยมีความแตกต่างมากนัก คือ กลุ่มระงับกลิ่นกาย ที่ทำออกมา เน้นน้ำหอม มีสารเคมีปริมาณสูงทำให้ รักแร้ดำ หนังไก่ รักแร้ไม่เรียบ ต้องคอยซ้ำหรือเติมระหว่างวัน ทำให้ขาดความมั่นใจในระหว่างวัน  เลยต้องหาวิธีมาแก้ไข  ซึ่งจากการได้ทดลองใช้ สบู่ refreshbrands เป็นสบู่สูตรพิเศษ เหมาะกับผู้ที่มีกลิ่นกาย แรง ทำงานกลางแจ้ง เหงื่อออกมาก โดยตัวสบู่เอง จะไประงับกลิ่นกาย แต่มิได้ยับยังเหงื่อ เนื่องจากหากยับยังเหงื่ออาจทำให้รูขุม ขนเกิดการอุดตัน และมีการอักเสบ ตามมา และทำให้กลไก ธรรมชาติของร่างกาย เสียสมดุล  หากเพื่อนท่านใด มีปัญหานี้อยู่ อาบน้ำแล้ว กลิ่นตัวยังแรงไม่หายไป   คนข้างๆ ต้องนอนแยกห้อง  เพื่อนร่วมห้องบ่นเรื่องกลิ่นตัว ค้นพบคำตอบที่  refreshbrands  soap นะครับ แล้วทุกอย่างจะเปลี่ยนไป
ด้วยความปรารถนาดีจาก refreshbrands by เภสัชกร อธิราช  พิมพ์วิชัย
http://www.refreshbrands.org/

วันพุธที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2559

ไฮโดรควิโนน ขาวใสทันใจ จริงหรือไม่

   
ผลจากการใช้ hydroquinone

           ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ทำให้ผิวขาวนั้น  ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มผู้บริโภคในเอเชีย รวมถึงประเทศไทย บริษัทเครื่องสำอางจึงได้ทำการคิดค้นผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ครีมที่ทำให้ผิวหน้าขาวใส  ในปัจจุบันจึงมีผลิตภัณฑ์เหล่านี้วางจำหน่ายอยู่มากมายในท้องตลาด ซึ่งแต่ละผลิตภัณฑ์ก็มีส่วนประกอบของสารสำคัญที่ทำให้ผิวขาวแตกต่างกันไป





ไฮโดรควิโนน
     เป็นสารเคมีซึ่งเป็นที่นิยมในการนำมาเตรียมครีมที่ทำให้หน้าขาวในอดีต เนื่องจากเห็นผลได้เร็ว
 กลไก:  โดยการการยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดสีของผิวหนัง หรือที่เรียกว่า เมลานิน จึงมีผลทำให้ผิวขาวขึ้นได้
การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของไฮโดรควิโนน: 
·       ควรใช้กับผู้ที่มีปัญหาฝ้า หรือรอยด่างดำจากสิวที่รุนแรงและจะต้องมีเปอร์เซ็นต์ของตัวยาที่แน่นอนระบุอยู่
·       นอกจากนี้ควรใช้ในระยะเวลาที่จำกัด
·       ไม่ควรใช้นานเกินไป
·       ไม่ควรหยุดใช้ยาทันทีเนื่องจากอาจจะทำให้ผิวคล้ำลงกว่าเดิมได้จากการที่ผิวหนังเร่งผลิตเซลล์เม็ดสีมาทดแทน
        นอกจากนี้ไฮโดรควิโนนเป็นสารที่ทำปฏิกิริยากับแสงแดด ซึ่งหากทายาที่มีส่วนผสมของไฮโดรควิโนนแล้วไม่ทาครีมกันแดด ฝ้าจะดำกว่าเดิมได้

       ในปัจจุบันนี้ไฮโดรควิโนนได้ถูกสั่งห้ามใส่ในผลิตภัณฑ์ครื่องสำอางที่วางจำหน่ายทั่วไป อย่างไรก็ตามในคลินิกที่จ่ายยารักษาฝ้าโดยแพทย์ ยังสามารถจ่ายให้ผู้ป่วยได้ตามความเหมาะสมตามดุลยพินิจของแพทย์ 
      การใช้ครีมที่มีส่วนผสมของไฮโดรควิโนนที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์ เช่น การหาซื้อครีมทาฝ้ามาใช้เอง อาจก่อให้เกิดอันตรายได้
     ซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้มักจะผสมไฮโดรควิโนนในปริมาณสูงมากกว่าเกณฑ์ที่กำหนด คือ 3-5%[สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กำหนดให้ผสมสารไฮโดรควิโนนในการรักษาฝ้าได้ไม่เกิน 2%]
     ผลข้างเคียงจากการ
·       อาการระคายเคืองต่อผิว 
·       เกิดจุดด่างขาวที่หน้า
·       ผิวหน้าดำเป็นฝ้าถาวรรักษาไม่หาย 
·       ทำให้เกิดโรคผิวหนังขึ้น 
·       เกิดตุ่มนูนสีดำบริเวณโหนกแก้มและสันจมูก ซึ่งเป็นบริเวณที่ทายาบ่อยๆหากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน กว่า 6 เดือน จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อภายในผิวหนังทำให้เกิดเป็นฝ้าถาวรสีน้ำเงินอมดำได้ ซึ่งอาจเกิดจากการที่ผิวหนังมีการปรับตัวให้สร้างเม็ดสีมากขึ้น
·       เพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน

ในส่วนของผู้บริโภคเองก็ควรต้องมีความใส่ใจในการเลือกซื้อเครื่องสำอางด้วย อย. ได้ระบุรายชื่อเครื่องสำอางที่ผิดกฎหมายไว้ในเว็ปไซท์ http://www.fda.moph.go.th/ซึ่งผู้บริโภคสามารถสืบค้นข้อมูลเหล่านี้ได้ด้วยตนเอง

     อย. ได้ให้ข้อสังเกตว่าเครื่องสำอางที่พบสารอันตรายมักให้รายละเอียดบนฉลากไม่ครบถ้วน เช่น ไม่ระบุแหล่งผลิตครั้งที่ผลิต และวันเดือนปีที่ผลิต ในการเลือกซื้อผู้บริโภคจึงควรระมัดระวังและควรสังเกตฉลากเป็นลำดับแรก ฉลากที่ถูกต้องจะต้องเป็นภาษาไทยมีข้อความบังคับครบถ้วน ได้แก่ ชื่อและประเภทผลิตภัณฑ์ ส่วนประกอบ วิธีใช้ชื่อที่ตั้งแหล่งผลิต วันเดือนปีที่ผลิต และปริมาณสุทธิการซื้อควรซื้อจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ ไม่ควรซื้อเพราะคำโฆษณาเพียงอย่างเดียว

เลือกผลิตภัณฑ์ปลอดภัย กับ refreshbrand by เภสัชกรอธิราช
http://www.refreshbrands.org/

กลูต้าไธโอน (glutathione) กับกลไกผิวขาวใส

กลูตาไธโอน (glutathione) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่เซลล์ในร่างกายมนุษย์สามารถสังเคราะห์ได้เอง
คุณสมบัติ:  เป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง ทำหน้าที่ในการปกป้องเนื้อเยื่อไม่ให้ถูกทำลายโดยสารอนุมูลอิสระที่สะสมอยู่ตามส่วนต่างๆของร่างกาย กระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย และที่สำคัญยังช่วยตับในการทำลายและขจัดสารพิษออกจากร่างกายด้วย

       ทางการแพทย์พบว่ามีการนำกลูตาไธโอนมาทดลองใช้ในการรักษาโรคต่างๆ ซึ่งยังไม่ได้รับการอนุมัติ
ข้อบ่งใช้จากองค์การอาหารและยา
·       ภาวะเป็นหมันในเพศชาย
·       ปลายเส้นประสาทอักเสบ
·       มะเร็งกระเพาะอาหาร หรือมะเร็งต่อมลูกหมาก
วิธีการรักษา  มักทำโดยการฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำหรือเข้าที่กล้ามเนื้อ
ผลข้างเคียง: อย่างหนึ่งที่น่าแปลกใจ คือ ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยการฉีดกลูตาไธโอนนั้นมีสีผิวที่ขาวขึ้น
    เนื่องมาจากกลูตาไธโอนสามารถยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส (tyrosinase) ได้ และส่งผลให้เม็ดสีของผิวหนังเปลี่ยนจากเม็ดสีน้ำตาลดำเป็นเม็ดสีชมพูขาว
      ด้วยเหตุนี้เองจึงมีผู้พยายามนำผลข้างเคียงของยามาใช้ในการทำให้ผิวขาวขึ้น ซึ่งนับได้ว่าเป็นการนำยามาใช้ในทางที่ผิดอีกรูปแบบหนึ่ง โดยในปัจจุบันยังไม่มีการศึกษาที่น่าเชื่อถือยืนยันหรือรับรองประสิทธิภาพและประโยชน์ของกลูตาไธโอนในการทำให้ผิวขาวได้อย่างแท้จริง จึงไม่น่าแปลกใจที่กลูตาไธโอนไม่ผ่านการรับรองข้อบ่งใช้โดยองค์การอาหารและยาประเทศสหรัฐอเมริกาสำหรับทำให้ผิวขาว

     
ผลิตภัณฑ์กลูตาไธโอนที่พบในท้องตลาด
·       ยาเม็ด
·       ผงละลายน้ำสำหรับรับประทาน ซึ่ง กลูตาไธโอนนี้สามารถถูกทำลายได้ในทางเดินอาหารของมนุษย์

      ดังนั้นประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจากการรับประทานกลูตาไธโอนในรูปแบบของยารับประทานนั้นแทบจะไม่มีเลย ที่ผ่านมาจึงพบว่ามีผู้พยายามนำกลูตาไธโอนในรูปแบบยาฉีดมาใช้แทนการรับประทานกันมากขึ้น เนื่องจากเชื่อว่ากลูตาไธโอนชนิดฉีดนั้นมีประสิทธิภาพในการทำให้ผิวขาวได้ดีกว่าและเห็นผลเร็วกว่ากลูตาไธโอนชนิดรับประทาน

      ประเด็นสำคัญของการใช้ยาฉีดกลูตาไธโอนโดยเฉพาะการฉีดเข้าหลอดเลือดดำนั้น คือ ความปลอดภัยจากการฉีดยา เนื่องจากผิวที่ขาวขึ้นจากกลูตาไธโอนนั้นเป็นผลข้างเคียงของยาที่เกิดขึ้นชั่วคราวเท่านั้น หากต้องการให้ผลคงอยู่ไปตลอดจำเป็นต้องได้รับการฉีดซ้ำเป็นระยะ ทำให้มีการสะสมยาในร่างกายมากขึ้น และอาจก่อให้เกิดอันตรายในระยะยาวได้ นอกจากนี้การฉีดยาจำเป็นต้องกระทำโดยผู้ประกอบวิชาชีพที่เชี่ยวชาญเท่านั้น เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ระหว่างการให้ยา เช่น การฉีดยาในอัตราที่เร็วเกินไป การติดเชื้อในกระแสเลือดจากเครื่องมือที่ไม่สะอาด การเกิดฟองอากาศอุดตันหลอดเลือดเนื่องจากผู้ฉีดยาไล่ฟองอากาศในเข็มฉีดยาไม่หมด เป็นต้น ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อผู้ที่ได้รับยาจนถึงขั้นเสียชีวิตได้เลยทีเดียว

      ถึงแม้ว่ากลูตาไธโอนเป็นสารที่ร่างกายสร้างได้เองตามธรรมชาติ แต่ประสิทธิภาพและความปลอดภัยของ กลูตาไธโอนชนิดฉีดหรือชนิดรับประทานเพื่อให้ผิวขาวใสนั้นยังไม่มีการพิสูจน์ผลที่ชัดเจน ความปลอดภัยในการใช้ยาจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึง และพึงระลึกไว้เสมอว่า ไม่มียาชนิดใดในโลกที่ปลอดภัยร้อยเปอร์เซนต์ ดังนั้นก่อนการใช้ยาใดๆ ก็ตามควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียดเสียก่อนเพื่อความปลอดภัยของตนเอง

บทความน่ารู้กับ refreshbrands by เภสัชกรอธิราช
http://www.refreshbrands.org/

วันอังคารที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2559

ชีวิตปลอดภัยห่างไกล เครื่องสำอางปรอท กับ refreshbrands

ปรอท




สารเคมีในเครื่องสำอาง
          สารปรอท   
         
 ปรอท ( Mercury) เป็นโลหะหนักสามารถหาปรอทได้จากหินที่ขุดพบในเหมือง โดย
การนำหินนั้นนั้นมาทำให้ร้อนด้วยอุณหภูมิ 357 องศาเซลเซียส
         ปรอทเป็นสารที่มีความหนาแน่นสูง ถึงขั้นที่ก้อนตะกั่วหรือเหล็กสามารถลอยอยู่ได้ ถึึงแม้ปรอทจะมีลักษณะคล้ายตะกั่วและเป็นของเหลว แต่ก็มีน้ำหนักมากกว่าตะกั่ว (มวลอะตอม 200.59)
ปรอทจะเป็นโลหะ แต่ก็ไม่ดึงดูดกับแม่เหล็ก เราสามารถนำปรอทมาใช้ในอุตสาหกรรมหลายๆ ประเภท ได้แก่
·         อุตสาหกรรมเครื่องวัดอุณหภูมิและความดัน
·         การย้อมสี
·         การผลิตเยื่อกระดาษ พลาสติก 
เภสัชภัณฑ์
·         อุปกรณ์ในการถ่ายรูป
·          อุปกรณ์ไฟฟ้า
·         สารฆ่าแมลงและยาฆ่าเชื้อ
    นอกจากนี้ เนื่องจากว่าปรอทมีจุดเดือดไม่สูงนัก จึงได้มีการทดลองนำ เมอคิวริคออกไซด์ มาผลิดเป็นออกซิเจนบริสุทธิ์อีกด้วย 
    ปรอทมักจะใช้ในการผลิตเคมีทางอุตสาหกรรม หรือในการประยุกต์ทางไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ปรอทใช้ในเทอร์มอมิเตอร์บางชนิด โดยเฉพาะที่ใช้วัดอุณหภูมิสูง
       
การใช้สารประกอบของปรอทที่สำคัญสองชนิด
·         ชนิดแรกคือ 3% mercuric iodine
·         ชนิดที่สอง 10% ammoniated mercury
       ทั้งสองชนิดเป็นสารปรอทชนิดอนินทรีย์ ซึ่งเมื่อรวมตัวกับ iodide หรือ chloride เกลือที่เกิดขึ้นจะถูกดูดซึมทางผิวหนังอย่างรวดเร็วและในปริมาณที่เป็นพิษได้ ในกรณีที่สารปรอทกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นสาร methyl mercury สารนี้มีความเป็นพิษสูงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพิษต่อระบบประสาทและพิษต่อไต ในบางรายเกิดปัญหาผิวหนังอักเสบอย่างรุนแรง บางรายเกิดปัญหาสิวเห่อ ผิวหนังยุบเป็นร่องรอยบนผิวหนัง ผิวด่าง-ดำ
ปรอทแอมโมเนีย เคยเป็นที่นิยมใช้กันมาก เช่นเดียวกับไฮโดรควิโนน
 ในครีมป้องกันฝ้าเรียกว่า ครีมไข่มุก โดยใช้ในอัตราส่วนไม่เกิดร้อยละ 3.0
ปรอทแอมโมเนียรบกวน  เอนไซม์ไทโรซิเนส โดยรวมตัวกับโปรตีนซึ่งเป็นส่วนประกอบของเอนไซม์ หรือโดยการจับกับไอออนทองแดงที่มีอยู่ในเอนไซม์ ทำให้ลดการสร้างเมลานิน
ประโยชน์ของปรอท
-
ใช้ในการทำเครื่องมือวิทยาศาสตร์ เช่น เทอร์โมมิเตอร์ บารอมิเตอร์ ปั๊มดูดอากาศ และเครื่องมือที่ใช้วัด ความดันโลหิต
-
ใช้ในอุตสาหกรรมไฟฟ้า เช่น สวิตช์อัตโนมัติสำหรับตู้เย็นและไฟฟ้ากระแสตรง
-
สารประกอบของปรอทใช้ในการทำวัตถุระเบิด
-
ซัลไฟด์ของปรอทใช้ทำสีแดงในอุตสาหกรรมเครื่องเคลือบดินเผา
-
ออกไซด์ของปรอทใช้ในการทำสี เพื่อป้องกันมิให้แตกและลอกง่ายสำหรับนำไปใช้ทาใต้ท้องเรือ
-
ปรอทเป็นตัวทำละลายที่ดีสำหรับโลหะบางชนิด สารละลายที่ได้เรียกว่า อะมาลกัม ดีบุกอะมาลกัมใช้ในการทำกระจกเงา เงิน-ดีบุกอะมาลกัมใช้เป็นวัสดุในการอุดฟัน โดยผสมปรอทกับโลหะผสมระหว่างเงินกับดีบุก
-
ใช้ในอุตสาหกรรมทำหมวกสักหลาด
โทษเกิดจากปรอท
การเกิดพิษจากสารปรอทมีทั้งชนิดเฉียบพลันและเรื้อรัง พิษชนิดเฉียบพลันมักเกิดจากอุบัติเหตุโดยการกลืนกินสารปรอทเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งปริมาณปกติที่ได้รับเข้าสู่ร่างกายและทำให้คนตายได้ โดยเฉลี่ยประมาณ 0.02 กรัม อาการที่เกิดจากการกลืนกินปรอท คือ
-
อาเจียน ปากพอง แดงไหม้ อักเสบและเนื้อเยื่ออาจหลุดออกมาเป็นชิ้นๆ
-
เลือดออก ปวดท้องอย่างแรง เนื่องจากปรอทกัดระบบทางเดินอาหาร
-
มีอาการท้องร่วงอย่างแรง อุจจาระเป็นเลือด
-
เป็นลม สลบเนื่องจากร่างกายเสียเลือดมาก
-
เมื่อเข้าสู่ระบบหมุนเวียนโลหิต ปรอทจะไปทำลายไต ทำให้ปัสสาวะไม่ออกหรือปัสสาวะเป็นเลือด
-
ตายในที่สุด
          การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี่สวนผสมของปรอทแอมโมเนีย
·         ทำให้มีการสะสมปรอทในผิวหนัง และดูดซึมเข้าสู่กระแสโลหิต
·         ทำให้ตับ และไตพิการ
·         โรคโลหิตจาง เป็นต้น
·          ปรอทแอมโมเนียถูกกำหนดเป็นสารห้ามในเครื่องสำอางตั้งแต่ พ.ศ. 2532 ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่ 37 พ.ศ. 2532 ออกตามพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2517 และยังคงห้ามใช้ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่ 9 พ.ศ. 2536 ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2535 

อันตรายไม่เกิดหากใช้เครื่องสำอางที่ผ่านการจดแจ้งถูกต้อง  จากกระทรวงสาธารณสุขแล้วเท่านั้นนะครับ

ชีวิตปลอดภัย ไปกับ refreshbrand by เภสัชกร อธิราช

http://www.refreshbrands.org/