วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2559

คอลลาเจน แก้ริ้วรอยทำให้ดูสาวขึ้น

คอลลาเจนเป็นโปรตีนโครงสร้างหลักในเนื้อเยื่อเกี่ยวพันหลายชนิดในสัตว์ คอลลาเจนเป็นองค์ประกอบหลักของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ฉะนั้นจึงเป็นโปรตีนที่พบมากที่สุดในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมด้วย โดยคิดเป็น 25% ถึง 35% ของปริมาณโปรตีนทั้งร่างกาย ส่วนใหญ่พบคอลลาเจนในรูปเส้นใยฝอยยืดในเนื้อเยื่อเส้นใย (fibrous tissue) เช่น เอ็นกล้ามเนื้อ (tendon) เอ็น (ligament) และผิวหนัง ทั้งพบมากในกระจกตา กระดูกอ่อน กระดูก หลอดเลือด ทางเดินอาหารและหมอนกระดูกสันหลัง เซลล์สร้างเส้นใย (fibroblast) เป็นเซลล์ที่สร้างคอลลาเจนมากที่สุด
ในเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ คอลลาเจนเป็นองค์ประกอบหลักของเยื่อหุ้มใยกล้ามเนื้อ (endomysium) คอลลาเจนประกอบเป็น 1% ถึง 2% ของเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ และเป็น 6% ของน้ำหนักกล้ามเนื้อมีเอ็นที่แข็งแรง เจลาติน ซึ่งใช้ในอาหารและอุตสาหกรรม เป็นคอลลาเจนที่ผ่านกระบวนการสลายด้วยน้ำ (hydrolysis) แบบย้อนกลับไม่ได้

ลักษณะ
คอลลาเจนคือโปรตีนชนิดหนึ่งที่เป็นสายยาว ซึ่งทำหน้าที่แตกต่างจากสารโปรตีนโดยทั่ว ๆ ไปเช่นแดียวกับเอนไซม์ เส้นใยคอลลาเจนมีลักษณะเป็นสายเกลียวที่มีหน่วยโมเลกุลเกี่ยวพันกันมากมาย โดยปกติทั่วไปผิวหนังมีคอลลาเจนเป็นโครงสร้างอยู่มาก จึงมีแรงสปริงและยืดหยุ่นดีตามไปด้วย คอลลาเจนนั้นไม่ได้มีอยู่ที่ผิวหนังส่วนนอกเท่านั้น อวัยวะภายในร่างกาย ก็มีคอลลาเจนเป็นส่วนประกอบอยู่มาก ได้แก่ ผังผืด (Fascia), กระดูกอ่อน, เอ็น, เอ็นกล้ามเนื้อและกระดูก คอลลาเจนที่เป็นส่วนประกอบหลักของชั้นผิวมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า เคราติน
เคราตินมีหน้าที่สร้างความแข็งแรงและความยืดหยุ่น เมื่อสารเคราตินในชั้นผิวลดลง จึงเกิดริ้วรอย (wringkle) บนชั้นผิว, นอกจากนี้ เคราตินมีหน้าที่สร้างความยืดหยุ่นให้ผนังหลอดเลือด มีส่วนช่วยในการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ รวมทั้งยังเป็นส่วนประกอบของเยื่อกระจกตาและเลนส์ตาด้วย


การนำ collagen มาใช้ประโยชน์

เมื่อคอลลาเจนผ่านการสลายด้วยน้ำคอลลาเจนจะแตกตัวออกเป็นสารเชิงซ้อนของคอลลาเจนเปปไทด์แบบ Polyproline II (PPII) หรือเจลาติน นอกจากการใช้เป็นอาหารแล้ว คอลลาเจนยังใช้เป็นส่วนประกอบของยา เครื่องสำอาง และฟีล์มถ่ายภาพเมื่อพิจารณาในแง่ของอุตสาหกรรมอาหารแล้ว สารคอลลาเจนไม่ได้ประกอบด้วยกรดอะมิโนที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
 คอลลาเจน คือ เส้นใยโปรตีน เป็นส่วนประกอบของผิวหนัง กระดูกอ่อน กระดูกและเนื้อเยื่อเกี่ยวกันต่างๆ คอลลาเจนเป็น ส่วนประกอบหลักของเครือข่ายชั้นผิวหนังมากกว่า 1 ใน 3 ของโปรตีนในร่างกาย คือ คอลลาเจน จัดเป็นจำนวนที่สูงมากและเป็น 70 % ของผิวหนังคนเราผิวหนังเป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย ผิวหนังประกอบด้วยชั้นผิว 3 ชั้น ชั้นแรก คือ หนังกำพร้าเป็นหนังส่วนที่อยู่นอกสุดของชั้นผิวหนัง ประกอบด้วยเซลล์ที่เรียกว่า epithelial cells ชั้นถัดมา คือ ชั้นที่อยู่ต่ำกว่าชั้นหนังกำพร้าลงไป ประกอบด้วยเส้นเลือด ต่อมน้ำเหลือง ต่อมเหงื่อ ต่อมขนและต่อมไขมันเป็นต่อมที่ผลิตไขมันเพื่อป้องกันแบคทีเรีย ชั้นที่สามเป็นชั้นที่สนับสนุนการทำงานของชั้นเนื้อเยื่อไมัน ผิวหนังจะยัง คงความอ่อนนุ่มและยืดหยุ่นตราบเท่าที่ยังคงรักษาความชุ่มชื้น ได้มากกว่า 10 % ถ้าผิวหนังแห้งมากจะมีลักษณะบวมแดง อักเสบ ผิวหนังชั้นหนอกจะมีลักษณะหยาบ เปราะบาง ไม่สดใส จึงต้องใช้โลชันและครีมบำรุงผิวเป็นตัวช่วยในการรักษาความชุ่มชื้น ในชั้นที่ต่ำกว่าชั้นผิวหนังชั้นนอกสุดจะเสื่อมสภาพไปตามอายุ ซึ่งไม่ใช่ขาดเฉพาะความชุ่มชื้นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการลดลงของ Polypeptides เช่น Elastin และคอลลาเจน

Skin-structures.jpg
         
          เมื่ออายุมากขึ้น เส้นใยคอลลาเจนจะเสื่อมสลาย และมีปริมาณลดลง ทำให้ชั้นผิวหนังยุบตัวลง เป็นต้นเหตุของความเหี่ยวย่นและริ้วรอย เช่น รอยตีนกา กล้ามเนื้อรอบดวงตาเหี่ยวย่นผู้หญิงแก่ง่ายกว่าผู้ชาย อัตราการลดลงอย่างต่อเนื่องของคอลลาเจน ในผิวหนังชั้นหนังแท้ จะมีผลให้ผิวพรรณค่อยๆ สูญเสียความชุ่มชื้น นุ่มเนียนและยืดหยุ่น ผิวที่เคยสวยเต่งตึง นุ่มนวล ค่อยๆ แห้งกร้าน ผิวจะยุบตัวลงทุกปีทุกปีทำให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นและตีนกา กว่าคุณจะอายุ 45 ปี ระดับคอลลาเจนในชั้นผิวลดลงไปแล้วกว่า 30%
ที่มาคำว่า collagen 
คำว่า Collagen (คอลลาเจน) มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกจากคำว่า “Kolla” ที่แปลว่า กาว โดยเมื่อก่อนได้มีการทำกาวโดยการนำหนังและเอ็นม้ามาเคี่ยวจนกลายเป็นกาว ตามหลักฐานที่พบมีการใช้งานกาวลักษณะนี้มากว่า 8000 ปีแล้ว โดยใช้เป็นส่วนประกอบในการผลิตเชือกและตะกร้าสานเพื่อให้มีความแข็งแรง และมีการใช้งานภายในครัวเรือนทั่วไป กาวชนิดนี้เมื่อแห้งแล้วสามารถทำให้อ่อนนิ่มได้อีกโดยการให้ความร้อน เพราะกาวจากสิ่งมีชีวิตเป็นเทอร์โมพลาสติก ชนิดหนึ่งจึงมีการใช้งานได้หลากหลายโดยเฉพาะการผลิกเครื่องดนตรีเช่น ไวโอลีน กีตาร์ แม้กระทั่งเมื่อมนุษย์สามารถผลิตพลาสติกสังเคราะห์ได้แล้ว แต่ก็ยังมีการใช้งานกาวเจลาตินอยู่ทั่วไป

ลักษณะการนำมาใช้ทางการแพทย์

มีการใช้คอลลาเจนในศัลยกรรมเสริมสวยอย่างแพร่หลาย โดยเป็นการช่วยฟื้นฟูผู้ป่วยแผลไหม้เพื่อสร้างกระดูกใหม่ ทั้งยังใช้ในจุดประสงค์ทางทันตกรรม ออร์โทพีดิกส์และศัลยกรรมอื่นอีกมาก พบใช้ทั้งคอลลาเจนมนุษย์และวัวเป็นสารเติมเข้าผิวหนังเพื่อรักษารอยย่นและการเปลี่ยนตามวัยของผิวหนังได้

ก้าวล้ำทันนวัตกรรมความงามกับ refreshbrands  BY เภสัชกรอธิราช
http://www.refreshbrands.org/


วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2559

ทำความรู้จักกับ snail extract


     สารสกัดจาก Snail Extract (สารสกัดหอยทาก) เป็นสารที่เรารู้จักกันได้ไม่นานนัก และเช่นกัน เป็นสารสกัดที่เป็นที่นิยมของสาวๆ ไม่ว่าประเทศไทยหรือต่างประเทศ โดย มีชื่อผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและราคาสูง ปัจจุบันเป็นที่นิยมนำมาผสมในเครื่องสำอาง  วันนี้เรามาทำความรู้จักว่า สารสกัดนี้มีประโยชน์อะไรบ้างนะครับ

สารสกัดหอยทาก มีคุณสมบัติ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ สร้างความชุ่มชื้นให้ผิวเพื่อป้องกันการก่อตัวใหม่ของสารอนุมูลอิสระลดการแห้งกร้าน ของผิว  และช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสียหาย

ประโยชน์ของสารสกัดหอยทาก
 ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการซ่อมแซมผิวตามธรรมชาติ
 ช่วยลบเลือนริ้วรอยและยกกระชับผิวได้ดีเยี่ยม
 ขจัดเซลล์ผิวที่ไม่สมบูรณ์และเพิ่มประสิทธิภาพในการผลัดเซลล์ผิวใหม่
 ช่วยบำรุงผิว ป้องกันการก่อตัวของสารอนุมูลอิสระ และเพิ่มความยืดหยุ่นของผิว
 มีส่วนซ่อมแซมและช่วยให้ผิวผลิตสารที่มีฤทธิ์หยุดยั้งการเติบโตของเชื้อโรค
 ช่วยขจัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ, ทำลายเชื้อโรค, รักษาและช่วยผลัดเซลล์ผิวใหม่
 ช่วยเพิ่มความหนาแน่น กักเก็บความชุ่มชื่นและยกกระชับผิว  ให้ผิวนุ่มและเรียบเนียนเหมือนผิวเด็ก
 ช่วยรักษาสิว, รอยแตกลาย, รอยแผล และ ผิวที่ถูกทำร้ายจากแสงแดด
  ที่มาของสาร
      มาจากการที่ เมื่อหอยทากเจอกับสภาวะที่ผิวของมันเสี่ยงต่อการเกิดอัตราย เช่น เปลือกหอยทากแตก หรือได้รับความเสียหาย หอยทากจะผลิตน้ำเมือกของตัวเองออกมา เพื่อซ่อมแซมเปลือกกระดองให้กลับมาแข็งแรง เพื่อปกป้องผิวของตัวเองได้เหมือนเดิม และไอ้เจ้าเมือกที่หอยทากมันผลิตออกมานี่แหละ พบว่าเป็นเมือกที่จะเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ สารต้านการอักเสบ, สารปรับปรุงระบบภูมิคุ้มกัน, เป็ปไทด์,  เอ็นไซม์และสารติดต่อกับเซลล์ผิว ซึ่งส่วนผสมดังกล่าวเป็นองค์ประกอบหลักในครีมหอยทาก
 ส่วนผสมหลักที่มีอยู่ในเมือกหอยทากคือ Allantoin, Gluconic Acid, Collagen และ Elastin
• Allantoin เป็นสารต้านการอักเสบและระคายเคืองต่อผิว และยังช่วยเพิ่มปริมาณน้ำในเซลล์ผิวทำให้ผิวชุ่มชื้นฟื้นฟูเซลล์ผิวที่ เสื่อมสภาพ และลดริ้วรอยได้ดีพร้อมเร่งการผลิตเซลล์ผิวใหม่ อีกทั้งช่วยควบคุมความมัน
• Gluconic acid ช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว และควบคุมความมัน
• Collagen ช่วยให้ผิวของเรามีความชุ่มชื้น เปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล กระชับ เนียนเด้งโดยจะอยู่คู่กับ Elastin ที่จะช่วยในเรื่องของความยืดหยุ่นของผิว

ก้าวไปกับนวัตกรรมเครื่องสำอาง กับ refreshbrands BY เภสัชกรอธิราช
http://www.refreshbrands.org/

วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2559

ปล่อยเต่าอาจได้บาปไม่รู้ตัว

      การทำบุญหลายคนก็มีหลายเหตุผล ในการทำบุญ ไม่ว่าจะ ทำบุญสะเดาะเคราะห์ ทำบุญเสริมดวงชะตา ทำบุญ เพราะมีคนแนะนำ ทำบุญด้วยเหตุบังเอิญเช่นไปวัด วันนี้เรามาดูความเชื่อหนึ่ง  ของคนไทยเกี่ยวกับการ ปล่อยเต่า  ตามความเชื่อการปล่อยเต่า เป็นการ ทำให้เรามีอายุยืนขึ้นเนื่องจากสัตว์ ประเภทเต่า อายุยืน  หลายคนไม่ค่อยจะรู้ว่าการปล่อยเต่าจะต้องเลือกเต่าอย่างอย่างไร




        ท่านทราบหรือไม่ว่าเต่ามีอยู่ 3 ชนิดคือ เต่าบก (tortoise) เต่าน้ำหรือเต่าน้ำจืด (terrapin) และเต่าทะเล (turtle)    โดยเต่าทะเลมักมีลักษณะที่แตกต่างไปเลยคือขาที่เป็นลักษณะใบพายใช้สำหรับว่ายน้ำ (ดังภาพที่ 1) ส่วนเต่าที่สร้างความสับสนให้แก่เรามากที่สุดคือ เต่าบกและเต่าน้ำ จริงๆเราชอบมีความคิดว่าปล่อยเต่าได้บุญมาก เพราะว่าเต่าเป็นสัตว์ที่มีอายุยืน อายุโดยเฉลี่ยประมาณ 20-40ปี แต่มีรายงานบางฉบับกล่าวว่าเต่าบางชนิดมีอายุมากกว่า 100 ปี แสดงว่าถ้าเราเลี้ยงเต่าหนึ่งตัว เราอาจจะตายก่อนเต่า เต่าอาจจะต้องเป็นสิ่งที่เราต้องฝากฝังให้คนอื่นดูแล  

   ดังนั้นเวลาเราไปทำบุญปล่อยเต่า ให้ถามตัวท่านเองก่อนว่า เต่าที่ปล่อยนะเป็นเต่าบกหรือเปล่า เนื่องจากถ้าเป็นเต่าบก  แล้วเราไปปล่อยในน้ำ เต่าจะตายทันที แทนที่จะเป็นการทำบุญจะกลายเป็นการทำบาปทันที เนื่องจากเต่าชนิดนี้ตลอดชีวิตจะไม่สัมผัสน้ำเลย เหมือนกับเราโยนคนที่ว่ายน้ำไม่เป็น ลงไปในน้ำ เต่าจะจมดิ่งสู่ก้นน้ำทันที 



      
                                                                                   ภาพที่ 1 เต่าทะเล
                               

     ความแตกต่างระหว่างเต่าบกกับเต่าน้ำ สามารถแยกโดยใช้ ลักษณะต่างๆดังนี้คือ พังผืดที่นิ้วเท้า โดยเต่าน้ำจะมีพังผืดเชื่อมระหว่างนิ้วเท้า แต่เต่าบกจะไม่มี  หรือใช้ลักษณะผิวหนังที่ขา เต่าน้ำจะเรียบกว่าและชุ่มชื้นกว่า  ส่วนเต่าน้ำชอบกินสัตว์มากกว่าพืช เช่น ปลาตัวเล็ก หอย เป็นต้น






                         ภาพที่ 2 เต่าน้ำจืด (สังเกตที่เท้า-นิ้วเท้ามีพังผืด/เยื่อเชื่อมระหว่างนิ้วเท้า )
                                   เป็นกลุ่มเต่าครึ่งบกครึ่งน้ำต้องมีเลนดิน หรือพื้น ให้เต่ามาพักตากอากาศได้ด้วยนะครับหาก ผิวเขาแห้งเขาก็ลงน้ำไปชุบตัว และแหล่งอาหารก็อยู่ในน้ำนั้นละครับ กินพืชทั่วไปยอดอ่อนของผัก เต่าน้ำจืดนำไปปล่อยชายหาดทะเลก็ตายนะครับ เพราะไม่มีแหล่งอาหารและสภาวะ ไม่เหมาะสมในการดำรงชีวิตของเต่าน้ำจืด









ภาพที่ 3  เต่าบก (สังเกตเท้า-นิ้วเท้าไม่มีพังผืดระหว่างนิ้วเท้าและเท้ากลมและมีเกล็ดใหญ่ที่ขา)
ส่วนเต่าบกผิวหนังที่ขาจะเป็นเกล็ดหยาบและขาจะกลมมากเนื่องจากต้องใช้ขาในการเดิน และถ้าหากต้องเลี้ยง
 เต่าบกเป็นสัตว์ที่เป็นมังสวิรัติ กินเฉพาะพืช ผัก ผลไม้ ลงน้ำไม่ได้

 ดังนั้นครั้งหน้าถ้าต้องการซื้อเต่าไปปล่อย ตรวจสอบด้วยว่าใช่เต่าน้ำไหม......ดูเท้าเต่า...... สำคัญครับจะได้ทำบุญไม่ได้บาป

การทำบุญที่ถูกวิธีกับ refreshbrands BY เภสัชกร อธิราช
http://www.refreshbrands.org/

วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2559

แฉ !!!! Aluminium ทำให้เกิดมะเร็งเต้านมจริงหรือไม่??

        สำหรับผู้มีปัญหากลิ่นกาย เพื่อนหลายคนคงมีผลิตภัณฑ์ ระงับกลิ่นกายในดวงใจกันแล้วนะครับ ช่วงหลังผมสังเกตุพบ ส่วนผสมในกลุ่ม ระงับกิ่นกายมีสารบางอย่าง  ที่เป็นกระแส ทำให้เกิดความเข้าใจผิดกัน ตั้งกระทู้จนกลัวกันทั้งเมือง ว่าถ้าหากมีส่วนผสม aluminium จะก่อให้เกิดมะเร็งกันเต้านม
สารที่ว่าคือ Aluminum chlorohydrate อลูมิเนียมคลอไฮเดรท 
 
Aluminum chlorohydrate อลูมิเนียมคลอไฮเดรท 




อลูมิเนียมคลอไฮเดรท (Aluminum chlorohydrate)
ชื่อทางเคมี (Chemical Name): อลูมิเนียมคลอไฮเดรท (Aluminum chlorohydrate)
ชื่อพ้อง(ง่ายๆก็คือชื่อเรียกอื่นที่อาจพบ) (Synonyms):
Aluminum hydroxychloride, Aluminium chlorhydroxide, Aluminium chloride basic, Aluminium chlorohydrol, Polyaluminium chloride
น้ำหนักโมเลกุล (Molecular Weight): 174.45
สูตรเคมี (Molecular Formula): Al2Cl(OH)5

ประโยชน์อลูมิเนียมคลอไฮเดรท (Aluminum chlorohydrate)
  1. ใช้ด้านการลดเหงื่อ โดยจะทำให้รูขุมขนหดตัว บริเวณผิวที่ทาก็หดตัวด้วย จึงทำให้เหงื่อออกน้อย
  2. ใช้ผสมร่วมกับสารส้มทำให้ใช้สารส้มน้อยลง เพื่อเร่งการตกตะกอนโลหะหนักตรวจคุณภาพน้ำ
  3. บำบัดน้ำให้ใสอย่างรวดเร็ว เรียก(สารเร่งการตกตะกอน)
  4. ทำลายเชื้อโรคบริเวณผิว
  5. ใช้ในเครื่องสำอาง เช่น กลุ่มระงับกลิ่นกาย
  6. รับประทานไม่ได้
พิษที่เกิดจากอลูมิเนียมคลอไฮเดรท (Aluminum chlorohydrate)
  1. อลูมิเนียมคลอไฮเดรท  เป็นสารที่ทำให้เกิดอาการระคายเคืองต่อตา และอาจมีผลทำลายตาได้
  2. ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุทางเดินหายใจ
  3. เกลือของอลูมิเนียมจัดเป็นสารนิวโรท็อกซิน (neurotoxin) ส่งผลต่อส่วนกลางและส่วนปลายได้
  4. อาจก่อการระคายเคืองที่ผิวเกิดการแพ้ คัน เมื่อใช้ปริมาณสูง
  5. เป็นสารเคมีที่ประกาศให้เป็นสารอันตราย กำหนดให้มีปริมาณการใช้
  6. ยังไม่มีเอกสารชัดเจนว่าก่อให้เกิดมะเร็งเต้านม 
สารอีกตัวที่ทำให้เข้าใจผิดและคิดว่าเป็นสารประเภทเดียวกัน และทำให้เป็นพิษต่อร่างกาย คือ อลูมิเนียมในรูปอื่นเช่น Aluminium Sulphate (ALUM) (สารส้ม)



ชื่อทางเคมี (Chemical Name): Aluminium Sulphate (ALUM) (สารส้ม)
ชื่อพ้อง(ง่ายๆก็คือชื่อเรียกอื่นที่อาจพบ) (Synonyms): Aluminium Sulphate (ALUM) (สารส้ม)

น้ำหนักโมเลกุล (Molecular Weight): 342.15
สูตรเคมี(MolecularFormula):KAl(SO4)2.12H2O,หรือหมายถึงกลุ่มของสารประกอบอื่นๆในสูตร AB(SO4)2.12H2O ซึ่งถูกเรียกว่าสารส้มเช่นกัน

ประโยชน์ของสารส้ม

  1.  สารส้มใช้แกว่งในบ่อเก็บน้ำเพื่อให้สิ่งสกปรกตกตะกอน
  2. สารส้มใช้ดับกลิ่นกาย ภูมิปัญญาพื้นบ้าน
  3.  นิยมใช้กับการดองผักเพื่อให้ผักดองมีความกรอบ ช่วยให้พริกขี้หนูดูสดใส เก็บไว้ได้หลายวัน ก่อนใช้ก็ทำการล้างน้ำก่อน รับประทาน
  4. สารส้มแกว่งในน้ำแช่ข้าวเหนียว แล้วแช่ไว้สักครู่ เปลี่ยนน้ำแช่ใหม่ เวลานึ่งแล้วข้าวจะมีเมล็ดสวย
  5. สารส้มเป็นยาสามัญประจำบ้าน หากใช้ทางยาต้องนำไปสะตุ ก่อนครับ ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะพิการ แก้โรคหนองใน ใช้ปรุงกับยาตัวอื่นขับฟอกระดูสตรี
  6. มีความปลอดภัยสูง
  7. ไม่อุดตันรูขุมขน
  8. ไม่ระคายเคืองผิว ไม่ทำให้แพ้
  9. ไม่จัดเป็นสารอันตรายตามกฎหมาย 
  10. ระงับเชื้อได้
  11. ไม่ก่อมะเร็งเต้านม
พิษของสารส้ม

  1. สารส้มมีพิษในการกินค่อนข้างน้อยมาก อาการ คือ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดหัว ซึม แต่ต้องกินในปริมาณสูงมากจึงเกิดอาการดังกล่าว
  2. พิษที่เกิดจากสารส้มและพบได้บ่อย คือ การสูดฝุ่นสารส้มในโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งจะทำให้เกิดอาการหอบหืดได้
  3. สารส้มปนเปื้อนอยู่ในน้ำดื่มปริมาณที่สูงอาจทำให้เกิดอาการอาเจียน ท้องร่วง เกิดผื่นคันเป็นแผลในปาก และที่สำคัญที่สุด คือ เกิดภาวะสมองเสื่อม และเป็นโรคอัลไซเมอร์ เนื่องจากอะลูมิเนียมเป็นโลหะที่มีประสิทธิภาพในการทำลายเนื้อเยื่อประสาท
  4. พิษของสารส้มจะไม่มีหากไม่มีการรับประทาน และถ้าหากรับประทาน ต้องรับประทานปริมาณสูงมากๆ จึงเกิดพิษ ตัวอย่างเช่น พาราเซตามอล รับประทานมือละ 2 เม็ด แต่ถ้าหากทานต่อวัน 100 เม็ด ก็จะเปิดพิษต่อตับรุนแรง และอาจตายได้ เพราะเป็นการใช้ยาผิดวิธี
สารเคมีในปัจจุบันมีหลากหลายชนิดหากจำเป็นต้องใช้ ก็ควรใช้อย่างถูกต้อง ถูกวิธีนะครับเพราะอาจเกิดอันตรายได้ 
 
ความรู้ดีกับ REFRESHBRANS BY เภสัชกร อธิราช

http://www.refreshbrands.org/

วันศุกร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2559

อาการแพ้จากเครื่องสำอางน่ารู้

    





      เครื่องสำอางมิได้หมายถึงเฉพาะลิปสติก แป้งทาหนา มาคารา อายแชโดว์ ดินสอเขียนคิ้ว เขียนตา เท่านั้น แต่เครื่องสำอางยังรวมถึง สบู่ แชมพู ยาสีฟัน น้ำยาดัดผม ยาย้อมผม และผ้าอนามัย เป็นต้น จะเห็นได้วาเครื่องสำอางเป็นสิ่งจำเป็นต่อชีวิตประจำวัน สำหรับคนทุกอาชีพ ทุกเพศ ทุกวัย หรืออาจกล่าวได้ว่าจำเป็นสำหรับทุกคน
     

                                     วัตถุประสงค์ของการใช้เครื่องสำอาง ได้แก่
   
   
      1.เพื่อบำรุงรักษา และ เพื่อสุขภาพอนามัยของร่างกาย ได้แก่ สบู่ แชมพู ยาสีฟัน ครีมล้างหน้า ครีมบำรุงผิว เป็นต้น
      2.เพื่อตกแต่งให้สวยงาม เช่น เครื่องสำอางแต่งใบหน้า น้ำยาดัดผม ยาย้อมผม และ อื่นๆ
      3.เพื่อกลิ่นสะอาด เช่น ครีมระงับกลิ่นตัว น้ำยาหลังโกนหนวด น้ำยาบ้วนปาก น้ำหอม และ อื่นๆ
      4.เพื่อปกป้องผิวหนัง เช่น ครีมกันแดด เป็นต้น
      บางครั้งเครื่องสำอาจทำให้เกิดอาการข้างเคียง หรือ เป็นพิษต่อร่างกายได้ ส่วนมาก จะเกิดจากการใช้ที่ผิดวิธี ไม่ปฏิบัติตามวิธีใช้ในฉลาก และส่วนน้อยเกิดจากสารเคมีในเครื่องสำอางมีปฏิกิริยาต่อร่างกายทำให้เกิดอาการแพ้      องค์ประกอบที่ทำให้เกิดอาการข้างเคียง      หรือกล่าวได้ว่าทำให้เกิดพิษจากการใช้เครื่องสำอาง ได้แก่      1.ระยะเวลาที่สัมผัสผิวหนัง เครื่องสำอางที่ทาแล้วทิ้งไว้เป็นเวลานานๆ เช่น ครีมบำรุงผิว มักก่อให้เกิดอาการข้างเคียงได้มากกว่าเครื่องสำอางประเภทที่ทาแล้วล้างออก เช่น แชมพู น้ำยาปรับสภาพผม
      2.บริเวณที่ทาผิว ผิวหนังบางแห่งของร่างกายไวต่อสิ่งรบกวนมากกว่าบริเวณอื่นด้วย เช่น ผิวหนังรอบดวงตา จึงพบว่าเครื่องสำอางแต่งดวงตาจะก่อให้เกิดปัญหาได้บ่อย
      3.ความเป็นกรด-ด่างของเครื่องสำอาง เครื่องสำอางที่มีความเป็นด่างสูง เช่น ครีมกำจัดขน และครีมยืดผม จะทำให้เกิดอาการระคายเคืองค่อนข้างมาก
      4.ความเข้มข้นของสารที่ระเหยได้ เครื่องสำอางที่มีปริมาณสารที่ระเหยได้สูง เช่น น้ำยาระงับกลิ่นตัวชนิดฉีดพ่นหรือของเหลว เมื่อทาแล้วและสารที่ระเหยได้ระเหยออกไป ความเข้มข้นของสารระงับเชื้อจุลินทรีย์อาจเพิ่มขึ้น 2-5 เท่า ทำให้เกิดอาการข้างเคียงสูงขึ้น
     

                             อาการข้างเคียง
      เนื่องจากการใช้เครื่องสำอาง แบ่งออกได้ 2 ทาง
    
       1.อาการทางผิวหนัง
 เกือบทั้งหมดของอาการข้างเคียงที่มีสาเหตุเนื่องจากใช้เครื่องสำอางเป็นอาการทางผิวหนัง ซึ่งแบ่งได้เป็น 4 ชนิด
      1.1การระคายเคือง (Irritation)
      มีอาการผิวหนังอักเสบ เนื่องจากสัมผัสสารนั้นโดยตรง เช่น จากสารที่มีฤทธิ์เป็นกรด หรือ ด่าง มาก      1.2 อาการแพ้ (Allergy)
      มีอาการผิวหนังจากการแพ้ทางปฏิกิริยาภูมิคุ้มกัน    ปฏิกิริยาดังกล่าวเกิดเฉพาะกับคนที่แพ้ต่อสารนั้นๆ และเนื่องจากเป็นปฏิกิริยาที่ผ่านทางระบบคุ้มกันจึงต้องอาศัยช่วงเวลาหนึ่งโดยเมื่อสัมผัสสารครั้งแรกจะกระตุ้นให้เกิดภูมิคุ้มกันขึ้น   เมื่อไปสัมผัสสารนั้นอีกเป็นครั้งที่ 2 หรือ ครั้งต่อๆ ไป จึงเกิดปฏิกิริยามีการอักเสบขึ้นได้
      1.3 อาการพิษจากแสง (Phototoxicity)
      มีอาการผิวหนังอักเสบ เนื่องจากพิษของสารเคมีร่วมกับแสงแดด อาการคล้ายข้อ 1.1 แต่ต้องมีแสงอุลตราไวโลเล็ตเป็นตัวกระตุ้น
      1.4 ภูมิแพ้แสง (Photoallergy)
      มีอาการคล้ายข้อ 1.2 แต่ต้องมีแสงอุตราไวโอเล็ตเป็นตัวกระตุ้น
      2.อาการทางระบบอื่นๆ      2.1 การระคายเคืองต่อตา (Eye iirritation)
      เนื่องจากแชมพู โฟมอาบน้ำกระเด็นเข้าตาโดยอุบัติเหตุ นอกจากนี้ครีมทาหน้ามักมีส่วนผสมของเบนซิลอะซิเตต (Benzyl acetate)หรือ เบนซิลแอลกอฮอล์ (Benzyl alcohol) ในน้ำหอมแต่งกลิ่น เมื่อทาใก้ลตา  อาจระคายเคือง ทำให้น้ำตาไหลได้
      2.2 การระคายเคืองต่อทางเดินปัสสาวะ เนื่องจากฟองอาบน้ำ (Bubble bath)
      2.3 การระคายเคืองต่อทางเดินหายใจ เนื่องจากการใช้สเปรย์แต่งทรงผม หรือสเปรย์ระงับกลิ่นตัว ในห้องที่อากาศถ่ายเทไม่ดี
      2.4 พิษจากการใช้เป็นเวลานาน ทำให้เกิดอาการต่างๆ เช่น
       การเกิดวิรูปของทารกในครรภ์ (Teratogenicity)
       การกลายพันธุ์ (Mutagenicity)
       การเกิดมะเร็ง (Carcinogenicity) เป็นต้น

      โดยทั่วไปขนาดความพิษที่เกิดจากเครื่องสำอางหรืออาการข้างเคียง มักจะเป็นเพียงอาการระคายเคืองเล็กน้อย เมื่อหยุดใช้อาการก็จะหายไปเอง มีส่วนน้อยมากที่เกิดอาการรุนแรงต้องได้รับการรักษาจึงหายเป็นปกติ จำนวนคนที่เกิดอาการข้างเคียงที่แท้จริงไม่อาจทราบได้เพราะว่าคนไข้น้อยรายที่เกิดอาการแล้วไปพบแพทย์โรคผิวหนัง ส่วนมากจะหยุดใช้เครื่องสำอางนั้นทันทีโดยไม่ปรึกษาแพทย์
             จะเห็นได้ว่าโอกาสที่จะเกิดอาการข้างเคียงเนื่องจากการใช้เครื่องสำอางมีน้อยมาก กล่าวได้ว่าโดยทั่วไปเครื่องสำอางปลอดภัยต่อการใช้      จากข้อมูลการศึกษา พบว่าเครื่องสำอางที่ทำให้เกิดอาการข้างเคียงได้มากกว่าเครื่องสำอางชนิดอื่น ได้แก่
      1.ยาย้อมผม และสารฟอกจางสีผม (Hair colour and bleach)      ยาย้อมผม ที่ทำให้เกิดอาการแพ้มักเป็นยาย้อมชนิดถาวร ซึ่งประกอบด้วย 2 ส่วน
      ส่วนที่1 เป็นส่วนผสมของสารที่ทำให้เกิดสี (Colour intermediate)
      ส่วนที่2 เป็นไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ นำมาผสมแล้วทาบนเส้นผมทันที สารซึ่งเป็นส่วนผสมในส่วนที่1 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พาราฟีนีไดอะมีน ทำให้เกิดอาการแพ้ได้ร้อยละ 4 ซึ่งในจำนวนนี้เป็นอาการแพ้ร้อยละ 1 อาการแพ้เริ่มจากผิวหนังมีผื่นแดง บวมรอบนัยต์ตา ต่อมาผื่นแดงกลายเป็นตุ่มใส มีน้ำเหลือง คันมาก บริเวณที่เกิดตั้งแต่ศีรษะ ใบหน้าและต้นคอ ถ้าแพ้มากทำให้หายใจลำบาก และเกิดจ้ำเขียวเป็นผื่น นอกจากนี้พาราฟีนีลีนไดอะมีนยังทำให้เกิดอาการระคายเคืองและเป็นพิษต่อระบบภายในร่างกาย เมื่อใช้เป็นเวลานาน
สารฟอกจางสีผม ทำให้เกิดอาการแพ้เนื่องจากสารแอมโมเนียมซัลเฟต
      2.น้ำยาดัดผม (Cold wave lotion)      ส่วนมากทำให้เกิดผิวหนังอักเสบจากการระคายเคืองเนื่องจากสัมผัสกับด่างในผลิตภัณฑ์ ไม่ค่อยพบอาการแพ้น้ำยาดัดผม เนื่องจากแพ้น้ำหอมหรือสารอื่นซึ่งเป็นส่วนประกอบในสูตรตำรับ
      3.ครีมบำรุงผิวหรือครีมล้างหน้า (Miosturizing cream of cleansing cream)      ครีมบำรุงผิว ใช้ทาบนใบหน้าเพื่อบำรุงผิว ครีมพวกนี้เป็นอีมัลชั่น (Emulsifier) วัตถุกันหืน วัตถุกันเสีย น้ำหอม สี เป็นต้น มักทำให้เกิดอาการระคายเคืองเนื่องจากไขผึ้ง ลาโนลิน พาราเบน เกอมาล 115 ยูโซแลกซ์ และน้ำหอม
      ครีมล้างหน้า ช่วยในการทำความสะอาดหน้า เพื่อขจัดไขมัน ครีมแป้งแต่งหน้า และ สิ่งสกปรกต่างๆสารที่ใช้ทำความสะอาดคือ น้ำมัน และสารลดแรงตึงผิว (Surfactants) ค่อนข้างสูง จึงพบว่าทำให้เกิดการระคายเคืองบ่อย
      4.ยาระงับกลิ่นตัวและกลิ่นเหงื่อ (Deodorant and antiperspirant)      ผลิตภัณฑ์นี้มักเป็นชนิดฉีดพ่น เป็นของเหลวซึ่งข้น บรรจุขวด หรือ ลูกกลิ้ง หรือ เป็นแท่ง มักทำให้เกิดอาการแพ้ได้บ่อย เนื่องจากสารระงับการเจริญของเชื้อแบคทีเรีย เช่น คลอเฮกซิดีน เบนซาลโคเนียมคลอไรด์ ไทรโคลซานไกลคอล น้ำหอม เป็นต้น
      5.ครีมกำจัดขน (Depilatory preparation)      ผลิตภัณฑ์มักมีลักษณะเป็นครีมเหนียวข้น ใช้ทาบริเวณที่ต้องการกำจัดขน ทิ้งไว้ 10-15 นาที ขนที่ถูกกำจัดออก จากนั้นใช้น้ำล้างออกให้หมด มักทำให้เกิดอาการระคายเคือง เนื่องจากฤทธิ์เป็นด่าง ของสารออกฤทธิ์สำคัญแคลเซี่ยมหรือสตรอนเตียม ไทโอไกลโคเลท
      6.เครื่องสำอางแต่งดวงตา (Eye make-up)      เครื่องสำอางแต่งดวงตา มีหลายรูปแบบด้วยกัน เช่น อายแชโดว์ อายไลเนอร์ (ใช้เขียนขอบตา) มาสคารา ดินสอเขียนคิ้ว ไม่ค่อยพบอาการแพ้ แต่ส่วนมากพบอาการระคายเคือง เนื่องจากสารทำละลาย และสารที่ทำให้เกิดอีมัลชั่น (Emulsifier)
      7.สบู่      สบู่มีส่วนประกอบที่สำคัญ เช่น เกลือโซเดียมของกรดไขมัน เช่น โซเดียมโคโคเอท โซเดียมแทลโลว์เอท อาจทำให้เกิดอาการระคายเคือง ถ้าสัมผัสบ่อยๆ หรือ เป็นเวลานานพอ และมักทำให้เกิดอาการแพ้ เนืองจากสารอื่นที่เติมลงไปในสบู่ เช่น น้ำหอม สาระงับเชื้อ ลาโนลิน เป็นต้น
      8.เครื่องสำอางป้องกันแสงแดด (Sun cosmetics)      ประกอบด้วยสารออกฤทธิ์ที่สำคัญที่มีคุณสมบัติในการดูดซับรังสีอุลตราไวโอเลตจากแสงแดดมิให้ผ่านลงไปทำอันตรายต่อเซลล์และ เนื้อเยื่อของผิวหนังที่อยู่ลึกลงไป ได้แก่ กรดพาราอะมิโนเบนโซอิก (พาบา), เบนโซฟิโนน-3 (ออกซีเบนโซน) โฮโมเบนทิลซาลิไซแลต ทำให้เกิดอาการข้างเคียงต่อผิวหนัง และการแพ้ทางปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันร่วมกับแสงแดด
      9.ลิปสติก (Lipstick)      การใช้ลิปสติกทาริมฝีปาก ซึ่งเป็นเนื้อเยื่ออ่อนวันละหลายครั้ง และสัมผัสฝีปากเป็นเวลานานตลอดวัน มีโอกาสกลืนกินเข้าสู่ร่างกาย อาการแพ้ลิปสติกเนื่องจากสารปรุงแต่งอื่นๆในลิปสติก และ สี มีอาการริมฝีปากแห้ง บวม คัน อักเสบ หายใจไม่ออก เมื่อมีอาการควรหยุดใช้ทันที และเปลี่ยนเป็นลิปสติกชนิดไม่มีน้ำหอม และสี ประเภทโบรโมแอซิด
      10.น้ำยาเคลือบเล็บ (Nail enamel)      มักทำให้เกิดอาการแพ้ เนื่องจากโทลูอีนซัลโฟนาไมด์ ฟอร์มาดีไฮด์เรซิน ผื่นผิวหนังอักเสบที่เกิดอาจพบได้ได้ตามบริเวณที่มักถูกเล็บเขี่ย เล่นเปลือกตา บริเวณใบหน้าส่วนล่าง บริเวณลำคอและหน้าอก
      11.ครีมฟอกจางสีผิว (Bleaching cream)      สารออกฤทธิ์สำคัญที่ใช้ได้แก่ ไฮโดรควิโนน ปรอทแอมโมเนีย
      ไฮโดรควิโนน ทำให้เกิดการระคายเคือง มักใช้ร่วมกับวิตามินเอ ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เกิดการระคายเคืองในคนที่ผิวหนังแพ้สารต่างๆง่าย การออกฤทธิ์ของกรดวิตามินเอ ทำให้เซลล์ผิวหนังแบ่งตัวเร็ว ผลัดออกเร็ว ทำให้ผิวหนังแดง บางครั้งอักเสบ
      ปรอทแอมโมเนีย เมื่อใช้นานๆ จะสะสมบนผิวหนัง และถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสโลหิต สะสมทำให้เป็นอันตรายต่อไต ไตอักเสบ
    
  สรุปได้ว่าอาการข้างเคียงที่เกิดจากเครื่องสำอาง
    เนื่องจากการแพ้มากกว่าการระคายเคือง ซึ่งการแพ้นั้นเกิดเฉพาะในบางคนเท่านั้น และโอกาสที่จะเกิดการระคายเคืองหรือเกิดการแพ้มีน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนเครื่องสำอางที่มีจำหน่ายในท้องตลาด อาจกล่าวได้ว่าเครื่องสำอางทั่วไปมีความปลอดภัยในการใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้อย่างถูกวิธี ปฏิบัติตามวิธีใช้และคำเตือนอย่างเคร่งครัด

ชีวิตปลอดภัยกับ refreshbrand   by เภสัชกร อธิราช
http://www.refreshbrands.org/

วันพฤหัสบดีที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2559

วิถีพุทธทำบุญได้บุญ ถวายพระยังไงให้พระได้ใช้จริงๆ



      ไปวัดได้บุญ ถวายพระยังไงให้ได้ใช้จริงๆ ชาวพุทธควรเข้าใจ  แต่ยังไงก็แล้วแต่นะครับการที่เรามีใจที่จะนำไปถวายพระก็ เท่ากับการได้บุญแล้วนะครับเพราะคิดดี ทำดี ไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อน ไม่รบกวนจิตใจใคร  บุญย่อมเกิดขึ้นอยู่เนื่องๆ     

          วันนี้มารู้จักชนิดสินค้าที่จำเป็น ที่พุทธศาสนิกชนนึกไม่ถึงว่ามีประโยชน์กับพระมาก

            สิ่งของ ที่พุทธศาสนิกชนอาจจะนึกไม่ถึงว่ามีความจำเป็นสำหรับการถวายสังฆทานเป็นอย่างมาก คือ 
  1.  สารระงับกลิ่นกาย มักถูกมองข้าม แต่ที่มีในท้องตลาด ถวายไม่ได้นะครับ ต้องไม่มีน้ำหอม เท่านั้น และต้องเป็นรูปแบบน้ำเท่านั้นนะครับ แป้งระงับกลิ่นกาย พระรับได้ แต่ใช้ไม่ได้ครับ
  2.  ยาสระผม คนมักคิดว่าพระไม่มีผมไม่จำเป็นต้องใช้ยาสระผม แต่จริง ๆ แล้วจำเป็นเพราะส่วนหนึ่งอาจมีคราบไคลและไขมันที่เกาะสกปรกตามหนังศีรษะอยู่บ้าง
  3. มีดโกน ใบมีดโกน พระได้ใช้บ่อยแต่ไม่ค่อยมีคนถวาย
  4. อุปกรณ์เครื่องครัว เช่น จาน กะทะ หม้อ ช้อน แก้วน้ำ ที่มีคุณภาพ พระสามารถใช้เป็นของส่วนตัวและเอื้อเฟื้อสำหรับญาติโยมที่มาทำบุญได้ด้วย
  5. อุปกรณ์ช่าง ค้อน ตะปู ไขควง สว่าน ที่พระมีโอกาสได้ใช้ในการซ่อมแซมต่าง ๆ ในวัดและกุฏิ
  6. อุปกรณ์ทำความสะอาด ไม้กวาด ไม้ถูพื้น ไม้กวาดแข็ง ที่โกยขยะ เป็นอุปกรณ์จำเป็นแต่ไม่ค่อยมีคนถวาย
  7. ข้าวสาร อาหารแห้ง เลือกที่คุณภาพดีไม่ใช่ที่บรรจุในถังสังฆทานที่มักใช้ไม่ได้ ส่วนนี้จะได้ใช้ในการบริจาค หรือนำไปอุปการะผู้ยากไร้ที่มาพึ่งใบบุญของวัดได้ด้วย
  8. เครื่องเขียน สมุด ปากกา ดินสอ
  9. หนังสือธรรมะ หรือหนังสือแนวทางการดูแลสุขภาพ หลอดไฟในวัด ไฟฉาย ใช่้ออกธุดงค์
  10. ผ้าสบง จีวร ผ้าอาบน้ำเลือกที่คุณภาพดี 
  11. ยาสมุนไพร ยารักษาโรค เลือกที่มีคุณภาพมาตรฐานในการผลิตหรือมีตรา องค์การอาหารและยา (อย.) รับรอง            
         
                       สินค้า10 รายการที่มีประโยชน์กับพระน้อยมาก   

           1.ใบชา  พระสงฆ์ส่วนใหญ่ระบุว่า ปัจจุบันพระสงฆ์ไม่ค่อยฉันน้ำชา ควรเปลี่ยนเป็นน้ำผลไม้แท้ที่ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพน่าจะดีกว่า เพราะน้ำผลไม้ส่วนใหญ่ที่อยู่ในถังสังฆทาน มักเป็นน้ำผลไม้ที่ไม่มีคุณภาพ ส่วนใหญ่เป็นน้ำหวานแต่งกลิ่น รส หรือผงสมุนไพรห่อที่ไม่ค่อยมีคุณภาพนัก 

           2.ขิงผงสำเร็จรูป เป็นเครื่องดื่มที่คนส่วนใหญ่คิดว่า พระสงฆ์น่าจะชอบฉัน แต่ความจริงแล้วไม่ใช่

           3.ยาจุดกันยุง ส่วนนี้อาจจะจำเป็นสำหรับพระที่จำพรรษาในป่าหรือชนบทไกล ๆ 

           4.นมข้นหวาน

           5.กาแฟผงสำเร็จรูป 

           6.ถัง กล่องสบู่ ขวดน้ำ ขันพลาสติก
 จากการสำรวจพบว่า อุปกรณ์เหล่านี้ถูกกองไม่ได้ใช้ประโยชน์จนล้นวัด 

           7.บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 
           8.น้ำดื่มบรรจุขวด 
           9.ขนมคุ้กกี้ ขนมอบต่าง ๆ
 

           10.ธูป เทียน ไม้ขีดไฟ ที่ส่วนใหญ่มักอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถใช้งานได้ ที่สำคัญของเหล่านี้มีจำนวนเกินพอแล้วในวัด

         

       คำเตือน !!!!!!!   สำหรับเครื่องสังฆทานถือเป็นสินค้าควบคุมฉลากที่ต้องระบุข้อความ วันเดือนปีที่หมดอายุ หากไม่มีการดำเนินการดังกล่าวอาจมีโทษถึงจำคุก 6 เดือน ปรับ 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
เกล็ดความรู้เล็กๆที่ชาวพุทธควรรู้ครบ

ความรุู้ดีๆ กับ REFRESHBRANDS BY เภสัชกร อธิราช
http://www.refreshbrands.org/

วันพุธที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2559

ปีชง 2559 ไม่เชื่ออย่าอ่าน

          ปีชง 2559 การเริ่มต้นเข้าสู่ ปีชงปีวอก นับตั้งแต่วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน หรือ วันตรุษจีน 2559 (ตรงกับวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2559) มันเริ่มที่จะส่งผลกระทบต่อดวงปี2559 ของคนที่มีปีเกิดตรงกับ ปีชง2559 และคนที่ถือว่ามีดวงเป็นคน "ปีชง" ได้แก่คนที่เกิดใน ปีขาล ซึ่งถือว่า "ชง 100%"  เรียกได้ว่า โดนหนักสุดๆ ( ได้แก่คนที่เกิดปีนี้ ใน พ.ศ. 2469, 2481, 2493, 2505, 2517, 2529, 2541, 2553 )  ส่วนคนที่เกิด ปีวอก, มะเส็ง, กุน ถือว่าเป็นปีร่วมชง ( ได้แก่คนที่เกิด พ.ศ. 2460, 2463, 2466, 2472, 2475, 2478, 2484, 2487, 2490, 2496, 2499, 2502, 2508, 2511, 2514, 2520, 2523, 2526, 2532, 2535, 2538, 2544, 2547, 2550, 2556 )
     คำว่าปีชง หมายถึงอะไร ? ปีชงมาจากความเชื่อทางโหราศาสตร์จีน ปีชงก็คือ ปีที่อยู่ตรงกันข้าม เป็นปีคู่กัด เป็นปรปักษ์กัน หรือเอาง่ายๆ ไม่ถูกกัน เหมือนหมากับแมว เป็นต้น
คนที่อยู่ในช่วงปีชงของแต่ละ มีความเชื่อว่า จังหวะชีวิตช่วงนี้จะมีอุปสรรค มีปัญหา ทำอะไรก็ไม่ค่อยราบรื่น เช่นถ้าลงทุนก็มีความเสี่ยงในการขาดทุนสูง ว่ากันว่าอย่างนั้น
1. ปีขาล (ชงเต็ม100%) ปะทะกับปีวอกโดยตรง ส่งผลให้ได้ผลแบบเต็มๆ ให้ระวังอุบัติเหตุที่รุนแรงถึงขั้นเลือดตกยางให้ดี รวมทั้งอาจจะเจ็บป่วยได้ง่าย มีคนไม่หวังดีคิดทำร้าย การงานมีแต่ปัญหา และ มีเกณฑ์เสียเงินเสียทองเป็นจำนวนมากโดยใช่เหตุ


ทำบุญเสริมดวง แก้ชงปี2559 คนเกิดปีขาล
ทำบุญสร้างบุญสร้างกุศล ด้วยการบริจาค เครื่องเวชภัณฑ์  ยารักษาโรค บริจาคเงินสร้างโรงพยาบาล  เพื่อให้เกิดมงคลทางด้านสุขภาพ และทำการสะเดาะเคราะห์...เมื่อไปทำบุญที่วัดแล้ว  อย่าลืมปล่อยปลา ให้เป็นปลาหมอ ๙ ตัว เต่า 1 คู่  เป็นการถ่ายเทพลังร้ายออกจากตัวเองและครอบครัว  หรือให้ถวายสังฆทานยา แค่นี้ก็พอแล้ว
2. ปีวอก (ชง 75%)  ปีเกิดทับกับองค์ไท้ส่วย จึงทำให้มีเรื่องเสียเงินบ่อยๆ จะถูกคนเอารัดเอาเปรียบ และ อาจะเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย เพราะฉะนั้นปีนี้ควรหลีกเลี่ยงการเดินทางไกล

วิธีแก้ชง ปี 2559 แก้ชงคนเกิดปีวอก
ถ้าจะเสริมบารมีตัวเองได้ด้วยการไปสักการะ  “เจ้าแม่กวนอิมพันมือ”   สวดมนต์เจ้าแม่กวนอิม แล้ว อธิษฐาน  ลูกชื่อ...........นามสกุล..............ขอองค์พระแม่กวนอิม พันตา พันมือ  ที่ให้ผลทางด้านครอบครัวช่วยให้เกิดความสามัคคี และช่วยปัดเป่าทุกอุปสรรคและปัญหา   บวงสรวงเพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคล เป็นการถ่ายเทเคราะห์กรรมเท่านั้นเอง หรือบริจาคเงินเพื่อชำระหนี้สงฆ์ ก็ได้

3. ปีมะเส็ง (ชง 50%) ปีร่วมชงไท้ส่วย มีทั้งเฮ้ง (เบียดเบียน)และ ผั่ว (แตกแยก) กับปีมะแมด้วย ทำให้ปีนี้มีคนคอยกลั่นแกล้ง ทำให้ชีวิตท่านพบแต่เรื่องวุ่นวายใจ

วิธีแก้ชง ปี 2559 แก้ชงคนเกิดปีมะเส็ง
ทำบุญสร้างบุญสร้างกุศล ด้วยการบริจาค เครื่องเวชภัณฑ์ ยารักษาโรค บริจาคเงินสร้างโรงพยาบาล  เพื่อให้เกิดมงคลทางด้านสุขภาพ และทำการสะเดาะเคราะห์...เมื่อไปทำบุญที่วัดแล้ว  อย่าลืมปล่อยปลา ให้เป็นปลาหมอ ๙ ตัว เต่า 1 คู่  เป็นการถ่ายเทพลังร้ายออกจากตัวเองและครอบครัว ของเสริมดวงแก้ชง คนเกิดปีมะเส็งควรพกยันต์หมอเทวดา "เทพฮั้วท้อเซียงซือ" เพื่อให้เกิดบารมีและเกิดกำลัง จะช่วยปัดเป่าสิ่งอัปมงคลได้
4. ปีกุน (ชง 25%)  ปีร่วมชงไท้ส่วย ทำให้มีอุปสรรค ก้าวข้ามไม่พ้นเรื่องนานาปัญหา ความมั่นคงในชีวิตที่เคยมีอาจแย่ลงในตามความเชื่อทางด้านโหราศาสตร์ของจีน ว่ากันว่าในทุกๆปี องค์ไท้ส่วยหรือเทพเจ้าผู้คุ้มครองดวงชะตา ผู้มีผลดลบันดาลให้เกิดความสุขและความทุกข์แก่มนุษย์โดยตรงทั้ง 60 พระองค์ โดยนับตามหลักจับกะจื้อ จะสลับผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนลงมายังโลกมนุษย์ เพื่อทำหน้าที่ดูแลโชคและเคราะห์ของแต่ละบุคคล


วิธีแก้ชง ปี 2559 แก้ชงคนเกิดปีกุน
เมื่อดวงชะตาอ่อนแรงต้องเสริมบารมีเพื่อให้มีกำลังที่จะต้านทางเคราะห์เหล่านี้ด้วยการไหว้บูชาเจ้ากรรมนายเวร  เพื่อผ่อนหนักให้เป็นเบา  เสริมดวงชะตา  ด้วยการไปไหว้พระพุทธชินราช หลวงพ่อซำปอกง ท่านท้าวมหาพรหม (ทุกองค์ถ้าไหว้วันพฤหัสบดีจะดีมาก) ด้วยดอกบัว 5 ดอก  ฟักทอง  ฟักเขียว  ดอกแคขาว 19 ดอกใส่กระทง ใส่บาตรด้วยอาหารประเภทกุ้ง ทำบุญ ถวายผ้าไตร สบง จีวร สร้างประตู หน้าต่างวัด...อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรเจ้าบุญนายคุณ...ที่กำลังตามติดมาเพื่อขอทุเลากรรม

วิธีการแก้ชง ไท้ส่วยเอี๊ย ทำได้ดังนี้
1. เขียนชื่อ-นามสกุล วัน เดือน ปีเกิดของคุณ
2. นำไปไหว้เทพเจ้าไท้ส่วยเอี๊ย หรือ เทพเจ้าแห่งดวงชะตา
3. จุดธุูป 3 ดอก ให้ช่วยคุ้มครอง
4. ถ้าเป็นของตัวเองให้นำกระดาษนั้นมาปัดตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าจนสุดแขน จำนวน 12 ครั้ง
5. นำซองที่บรรจุดวงชะตานั้นฝากไว้ที่ศาลเจ้าเพื่อสวดมนต์ทำพิธีเสริมดวงชะตาของผู้ที่เกิดปีชงนั้น
วิธีการบูชา และ ของไหว้ องค์ไท้ส่วยเอี๊ย
1. แจกันดอกไม้สด 1 คู่
2. เทียนแดง  1 คู่
3. ธูป 3 ดอก
4. เทียงเถ่าจี้  1 คู่
5. หงิงเตี๋ย  13 ชุด
6. กิมหงี่งเต้า  1  คู่
7. อาหารเจ (เห็ดหอม เห้ดหูหนู จำไฉ่ วุ้นเส้น ฟองเต้าหู้)  5 อย่าง
8. ภั่วลิสง  25 เม็ด
9. พุทราแดง (อั่งจ้อ)  25 เม็ด
10. ขนมโก๋  5 ชิ้น
11. น้ำชา  5  ถ้วย
12. ข้าวสวย  5  ถ้วย

       ชาวจีนโดยทั่วไปเชื่อว่า องค์ไท้ส่วยหรือเทพเจ้าผู้คุ้มครองดวงชะตา มีอิทธิพลต่อการดำรงชีวิต ดังนั้นการกราบไหว้บูชาเทพเจ้าผู้คุ้มครองดวงชะตา หรือ องค์ไท้ส่วย ทุกๆปี ก็เป็นการเสริมดวงชะตา 
     โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เกิดปีชง การกราบไหว้องค์ไท้ส่วย ถือเป็นการไหว้เทพเจ้าที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก ซึ่งนอกจากคนที่ปีเกิดเป็นปีชงจะกราบไหว้บูชาเพื่อฝากดวงชะตา ให้องค์ไท้ส่วยช่วยปัดเป่าทุกข์ภัย แล้ว 
     คนที่เกิดปีนักษัตรอื่นก็สามารถกราบไหว้บูชาให้ความศรัทธาต่อองค์ไท้ส่วยที่มาเฝ้าปีได้เช่นกัน ทั้งนี้เพื่อการเป็นสิริมงคลหรือเสริมดวงให้คนที่ดวงดีอยู่แล้ว ก็ดียิ่งๆขึ้นไปอีก เรียกอีกอย่างว่าเป็นการไหว้เพื่อให้องค์ไท้ส่วยหนุนดวงชะตา ให้ชีวิตราบรื่น อยู่เย็นเป็นสุข 
ส่วนองค์ไท้ส่วยที่รับหน้าที่เฝ้าในปีพ.ศ. 2559 นี้ ปีวอก ตามปีใน 12 นักษัตร
 มีพระนามว่า "กวงต๊งไต่เจียงกุง"
ที่มา www.deedaily.com
ชีวิตราบรื่นมีความสุขกับ refreshbrands BY เภสัชกร อธิราช
http://www.refreshbrands.org/